สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 2-8 พฤษภาคม 2565

 

ข้าว

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
1.1) ด้านการผลิต
(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุม
ค่าเช่าที่นา
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณ
น้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน
(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต
(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)
(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว
(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)
1.2) ด้านการตลาด
(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร
(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย
3 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ
โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 12,023 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,883 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.19
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,566 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,564 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 28,975 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 27,350 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.94
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,600 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.55
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 880 ดอลลาร์สหรัฐฯ (29,953 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 845 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,730 บาท/ตัน)  ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.14 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,223 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 468 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,930 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,790 บาท/ตัน)  ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.59 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,140 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 474 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,134 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 447 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,198 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.04 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 936 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.0380 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาข้าวอยู่ในระดับทรงตัวขณะที่อุปทานข้าวในตลาดมีมากขึ้น จากที่อยู่ในช่วง
เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ (the winter-spring crop) โดยราคาข้าวขาว 5% ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 415 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยวงการค้าคาดว่า ราคาข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเก็บเกี่ยวข้าวใกล้จะสิ้นสุด ทำให้ผู้ค้าข้าวบางส่วนลังเลที่จะทำสัญญาขายข้าวฉบับใหม่ในช่วงนี้เพื่อรอให้ราคาข้าวปรับขึ้น
ข้อมูลการส่งมอบข้าวเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า ในช่วงเดือนเมษายน 2565 มีข้าวประมาณ 300,990 ตัน และในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 2565 เพิ่มขึ้นประมาณ 40,000 ตัน ที่ถูกขนถ่ายขึ้นเรือบรรทุกสินค้าที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศฟิลิปปินส์ คิวบา และประเทศในแถบแอฟริกา
สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (the General Statistics Office) ว่า ข้อมูลการส่งออกข้าวเบื้องต้นในเดือนเมษายน 2565 มีประมาณ 550,000 ตัน มูลค่าประมาณ 273 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-เมษายน 2565) เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 2.05 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 1.04 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.4 แต่มูลค่าลดลงประมาณร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
The Oceanic Agency and Shipping Service รายงานว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 9 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2565 จะมีเรือบรรทุกสินค้า (breakbulk ships) อย่างน้อย 17 ลำ เข้ามารอรับสินค้าข้าวที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City (HCMC) Port เพื่อรับมอบข้าวประมาณ 174,550 ตัน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
จีน
ช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 (มกราคม-มีนาคม 2565) จีนนําเข้าข้าวจากปากีสถาน อินเดีย และไทย เพิ่มขึ้น อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่การนําเข้าจากเวียดนาม และเมียนมาร์ ลดลง
จากข้อมูลกรมศุลกากรจีน ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 จีนนําเข้าข้าวประมาณ 1.7 ล้านตัน มูลค่า 706 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยจีนนําเข้าข้าวจากประเทศปากีสถาน อินเดีย และไทย เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่นําเข้าจากเวียดนาม และเมียนมาร์ ลดลง โดยจีนนําเข้าจากเวียดนามประมาณ 131,229 ตัน และจากเมียนมาร์ประมาณ 228,415 ตัน ซึ่งลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เวียดนามอยู่อันดับที่ 5 ของประเทศที่จีนนําเข้าข้าวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565
ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาข้าวที่เวียดนามส่งออกไปประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นข้าวเหนียว และข้าวหอม เช่น ST21, ST24, DT8 สำหรับในช่วงต้นปี 2565 จีนได้ลดการนําเข้าข้าวเหนียว แต่ได้เพิ่มการนําเข้าข้าวหอมมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวเหนียวไปประเทศจีน จำนวน 65,300 ตัน ลดลงถึงร้อยละ 71.3 เมื่อเทียบกับจำนวน 227,200 ตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่การส่งออกข้าวหอม (เช่น ST21, ST24, DT8) มีจำนวน 75,200 ตัน เพิ่มขึ้นกว่า 3.7 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกยังมองในแง่ดีว่าความต้องการนําเข้าข้าวเหนียวของจีนจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพื้นที่ปลูกข้าวเหนียวของจีนลดลง และในแต่ละปีจีนจะนําเข้าข้าวเหนียวจากเวียดนาม จำนวน 700,000-800,000 ตัน เพื่อรองรับความต้องการบริโภคภายในประเทศ
ทางด้านการนําเข้าข้าวจากอินเดียในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 มีปริมาณเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยจีนนําเข้าประมาณ 454,374 ตัน ทำให้ปัจจุบัน อินเดียกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับที่ 2 ของจีน โดยมีปริมาณนําเข้าข้าวน้อยการจากปากีสถานเพียงเล็กน้อย ซึ่งจีนนําเข้าข้าวจากปากีสถานประมาณ 466,617 ตัน
นอกจากนี้ จีนยังได้เพิ่มการนําเข้าข้าวจากไทย โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 มีการนําเข้าประมาณ 248,529 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (The United States Department of Agriculture; USDA) ได้ปรับประมาณการการนําเข้าข้าวของจีนในปีการเพาะปลูก 2564/65 เป็นจำนวน 5.2 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ประมาณ 0.5 ล้านตัน และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปีการเพาะปลูก 2561/62 โดยสาเหตุหลักมาจากความต้องการนําเข้าข้าวหักจากอินเดียเพิ่มขึ้น
ในอดีต จีนเคยนําเข้าข้าวจากเวียดนาม เมียนมาร์ ปากีสถาน และไทย แต่การนําเข้าข้าวจากอินเดียพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2564 หลังจากที่มีการยกเลิกข้อจํากัดในการนําเข้าข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ (Non-Basmati rice) จากอินเดีย ซึ่งจากข้อมูลของ USDA การนําเข้าข้าวหักของจีนมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราคาของข้าวหักอยู่ในระดับที่ต่ำ และสามารถนําเข้านอกระบบโควตาภาษีได้ด้วยอัตราภาษีนําเข้าเพียงร้อยละ 10 โดยข้าวหักที่นําเข้าจะถูกนําไปใช้เพื่อทดแทนข้าวโพดฯ ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และใช้สำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารหรือการผลิตสินค้าในกลุ่มแอลกอฮอล์
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
อินเดีย
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ระดับ 361-365 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน ท่ามกลางภาวะค่าเงินรูปีที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาการอุดหนุนธัญพืชสำหรับประชาชนออกไปอีก 6 เดือน ทำให้อุปทานข้าวในตลาดมีเพิ่มขึ้น ขณะที่วงการค้าระบุว่า ความต้องการข้าวจากต่างประเทศยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มของข้าวหักที่นําไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์
สำนักข่าว the Financial Express รายงานว่า การส่งออกข้าวของอินเดียในปีงบประมาณ 2565/66
(1 เมษายน 2565-31 มีนาคม 2566) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมากกว่าปริมาณส่งออกเมื่อปีที่แล้ว ที่ส่งออกได้ ประมาณ 20 ล้านตัน เนื่องจากสต็อกข้าวในประเทศยังคงมีส่วนเกินจำนวนมาก และคาดว่าการเก็บเกี่ยวข้าวจะได้ผลผลิตดี ประกอบกับคาดว่าจะมีฝนตกในระดับปกติในฤดูมรสุมปี 2565 (มิถุนายน-กันยายน 2565) ซึ่งจะช่วยให้การเพาะปลูกข้าวในฤดูการผลิต Kharif (มิถุนายน-ธันวาคม 2565) ได้ผลดี
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2564/65 อินเดียส่งออกข้าวไปยัง 150 ประเทศ โดยส่งออกข้าวบาสมาติเมล็ดยาว (long grain basmati rice) ไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และประเทศในตะวันออกกลางอื่นๆ รวมทั้งส่งไปยังสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ขณะที่การส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ (non-basmati rice) มีการส่งออกไปยังประเทศเนปาล บังคลาเทศ จีน ไอวอรี่โคสต์ โตโก เซเนกัล กินี เวียดนาม จิบูตี มาดากัสการ์ แคเมอรูน โซมาเลีย มาเลเซีย ไลบีเรีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น
จากการพยากรณ์ผลผลิตธัญพืช ครั้งที่ 2 ของปี 2564/65 (the Second Advance Estimates for 2021/22) คาดว่าผลผลิตข้าวของอินเดียในปี 2564/65 คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 127.93 ล้านตัน (แบ่งเป็นผลผลิตในฤดูกาลผลิต Kharif จำนวน 109.54 ล้านตัน และฤดูการผลิต Rabi จำนวน 18.39 ล้านตัน) เพิ่มขึ้นประมาณ 11 ล้านตัน จากตัวเลขการผลิตเฉลี่ยในรอบ 5 ปีที่ 116 ล้านตัน
สำนักข่าว the Financial Express รายงานว่า รัฐบาลอินเดียกําลังพิจารณาที่จะเพิ่มปริมาณข้าวภายใต้ โครงการปันส่วนอาหารสำหรับประชาชน (free ration scheme) เนื่องจากสต็อกข้าวสาลีในคลังกลาง (central pool) ของอินเดียมีปริมาณลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ทั้งนี้ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 สต็อกข้าวสาลีของอินเดียในคลังขององค์การอาหารแห่งชาติ (Food Corporation of India; FCI) มีปริมาณลดลงเหลือ 16.19 ล้านตัน หรือลดลงประมาณร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่สต็อกธัญพืชอาหารทั้งหมด (The total food grain stocks) มีปริมาณลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ที่จำนวนประมาณ 31 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในท้องถิ่นระบุว่า ปริมาณข้าวสาลีในปัจจุบันมีไม่เพียงพอต่อความต้องการภายใต้ พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านอาหารแห่งชาติ (the National Food Security Act; NFSA) และโครงการ Pradhan Mantri Garib Kalyan Anna Yojana (PMGKAY) ซึ่งขยายระยะเวลาออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยรัฐบาลมีความต้องการใช้ข้าวสาลีประมาณ 25-26 ล้านตันต่อปี สำหรับการใช้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และอีกประมาณ 10 ล้านตัน สำหรับการดำเนินการตามโครงการ PMGKAY
ทั้งนี้ จากการที่สต็อกข้าวสาลีมีไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากข้าวสาลีที่จะใช้ภายใต้ โครงการ PMGKAY เป็นข้าวแทน ซึ่ง ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 องค์การอาหารแห่งชาติ (FCI) มีสต็อกข้าวประมาณ 33.15 ล้านตัน และมีอีกประมาณ 20 ล้านตัน ที่จะรับมาจากโรงสี ซึ่งสวนทางกับปริมาณสต็อกขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดไว้เป็นบรรทัดฐาน (a buffer norm) ที่ระดับ 13.58 ล้านตัน ณ เดือนเมษายน 2565
มีรายงานว่า โครงการจัดซื้อจัดหาข้าวสาลีของรัฐบาลมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสําคัญในปี 2565 เนื่องจากการจัดซื้อของภาคเอกชนมีมากขึ้น ซึ่งผู้ค้าต่างคาดกันว่าในปี 2565 อินเดียมีโอกาสที่จะส่งออกข้าวสาลีได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะอุปทานข้าวสาลีในตลาดโลกตึงตัวจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน
ที่ยังคงไม่สิ้นสุด
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้

ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.03 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.89 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.42 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.72 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.86 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.78
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.78 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 12.77 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 388.00 ดอลลาร์สหรัฐ (13,014.00 บาท/ตัน)  สูงขึ้นจากตันละ 385.00 ดอลลาร์สหรัฐ (13,038.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.78 แต่ลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 24.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎคม 2565 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 802.00 เซนต์ (10,878.00 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 810.00 เซนต์ (10,937.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.99 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 59.00 บาท


 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2565 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 10.179 ล้านไร่ ผลผลิต 34.691 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.408 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 10.406 ล้านไร่ ผลผลิต 35.094 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.372 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยวและผลผลิต ลดลงร้อยละ 2.18 และร้อยละ 1.15 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.07 โดยเดือนพฤษภาคม 2565 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.294 ล้านตัน (ร้อยละ 3.73 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2565 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 ปริมาณ 20.48 ล้านตัน (ร้อยละ 59.04 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดมาก เนื่องจากมีฝนตกในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพลดลง (เชื้อแป้งลดลง) สำหรับลานมันเส้นและโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.47 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 2.43 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.65
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.96 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.02 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.85
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ8.59 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.52 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.82
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.30 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 15.92 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.39
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 283 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,690 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากเฉลี่ยตันละ 282 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,640 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.35
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,280 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากเฉลี่ยตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,140 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.60

 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2565 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤษภาคมจะมีประมาณ 1.699 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.306 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.775 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.320 ล้านตันของเดือนเมษายน คิดเป็นร้อยละ 4.28 และร้อยละ 4.38 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 11.46 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 10.33 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 10.94
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 61.22 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 57.03 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 7.35
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
มาเลเซียมีปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากมีผลผลิตมากขึ้นและมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.20 จากเดือนมีนาคม อยู่ที่ 1.55 ล้านตัน แต่การส่งออกลดลงร้อยละ 5.60 เนื่องจากผู้ซื้อหลักอย่างอินเดีย จีน และยุโรป ชะลอการซื้อหลังจากราคาที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งในเดือนพฤษภาคมคาดว่าการส่งออกของมาเลเซียจะเพิ่มขึ้นหลังจากอินโดนีเซียออกมาตรการห้ามส่งออก 
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,058.00 ดอลลาร์มาเลเซีย (56.34 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 7,394.57 ดอลลาร์มาเลเซีย (58.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.55                         
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,750.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (60.32 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,770.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (60.92 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.16
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล

1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ

         
ไม่มีรายงาน

2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
         ตามข้อมูลของ Pecege พบว่าต้นทุนการผลิตอ้อยในบราซิลเพิ่มขึ้น 25% เป็น 11,496 เรียลบราซิล/เฮคแตร์ (2,318 เหรียญสหรัฐ/เฮคแตร์) ในปี 2564/2565 แต่ราคาตลาดโลกที่สูงช่วย ให้อัตรากำไรสูงสุดในรอบ 15 ปีอย่างไรก็ตามพื้นที่อ้อยของรัฐเซาเปาโลในปี 2565/2566 น่าจะลดลง 76,000 เฮคแตร์ เนื่องจากการเปลี่ยนไปปลูกถั่วเหลืองและข้าวโพดแทนตามการคาดการณ์ของ Conab
คลื่นความร้อนในอินเดียทำให้มีความต้องการบริโภคน้ำอัดลมมากขึ้นทำให้ ราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 รูปี/100 กก. (430 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน) จาก 3,100 รูปี/100 กก. (410 เหรียญ สหรัฐฯ/ตัน) ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตามการรายงานของแหล่งข่าวในรัฐ Maharashtra ราคาน้ำตาลภายในน่าจะอยู่ในระดับนี้ต่อไปเนื่องจากโควต้าขายของเดือนเมษายนนั้นไม่มีเหลือค้างมาและความต้องการที่เพิ่มขึ้น




 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 18.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 17.13 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.08 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,667.28 เซนต์ (21.12 บาท/กก.)ลดลงจากบุชเชลละ 1,709.92 เซนต์ (21.61 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.49
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 431.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14.88 บาท/กก.)ลดลงจากตันละ 445.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15.33 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.19
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 85.80 เซนต์ (65.18 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 87.12 เซนต์ (66.05 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.52


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 24.74 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.03
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 39.00 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.56
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 22.00 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 13.64
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 32.00 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 18.75
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 882.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.02 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 883.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.05 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.20 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 704.33 ดอลลาร์สหรัฐ (23.97 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 705.60 ดอลลาร์สหรัฐ (23.99 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,207.33 ดอลลาร์สหรัฐ (41.10 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,180.00 ดอลลาร์สหรัฐ (40.12 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.32 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.98 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 763.33 ดอลลาร์สหรัฐ (25.98 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 676.00 ดอลลาร์สหรัฐ (22.98 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 12.92 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 3.00 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,142.00 ดอลลาร์สหรัฐ (38.87 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 966.60 ดอลลาร์สหรัฐ (32.86 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 18.15 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 6.01 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้ 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.44 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 41.15 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.70
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.59 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 30.82 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.75
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.50 คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

   1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
    ราคาที่เกษตรกรขายได้
    ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ ไม่มีการรายงานราคา
    ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
    ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2565 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 149.60 เซนต์(กิโลกรัมละ 113.69 บาท) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 141.02 เซนต์ (กิโลกรัมละ 106.96 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.08 (เพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 6.73 บาท)

 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,854 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,814 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.23 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,495 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,013 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ปศุสัตว์
 
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  94.11 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 92.41  คิดเป็นร้อยละ 1.84 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.51 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 86.37 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 98.64 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 94.68 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 3,400 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 98.50 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 96.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.07 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 43.12 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 43.09 บาทคิดเป็นร้อยละ 0.07 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 32.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 44.36 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 44.16 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 41.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 53.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 326 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 325 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.35 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 318 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 313 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 332 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.72 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 367 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 370 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.79 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 383 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 382 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 341 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 373 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.85 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 99.86 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 100.07 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.22 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 95.96 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 102.91 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 91.92 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 109.29 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 80.88 บาท ลดลงจาก กิโลกรัมละ 83.08 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.64 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 89.25 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 79.27 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
 
 
 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2565) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.75 บาท ราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 58.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.42 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคสูงขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.38 บาท ราคาลดลงเล็กน้อยจากกิโลกรัมละ 80.07 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.69 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 145.25 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 152.95 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 7.70 บาท เนื่องจากมีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 138.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 136.67 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.33 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.04 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 180.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.85 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา